เมนู

สมควรแก่สมณะ การที่บุคคลผู้เป็นมุนีมาละตัณหา
ทำลายอาสวะพร้อมทั้งมูลราก เป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวะ
กิเลสอยู่ ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ.

จบโคตมเถรคาถา

อรรถกถาโคตมเถรคาถาที่ 7



มีคาถาของท่านพระโคตมเถระอีกรูปหนึ่งว่า วิชาเนยฺย สกํ อตฺถํ
ดังนี้เป็นต้น. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
ท่านพระโคตมเถระรูปนี้ ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้า
พระองค์ก่อน ๆ ในภพนั้น ๆ ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะไว้
ก่อนหน้าแต่กาลอุบัติขึ้นแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย (ท่าน)
บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ชื่อว่า อุทิจจะ ในกรุงสาวัตถี พอเจริญวัยแล้ว
เป็นผู้เรียนจบไตรเพท ฝึกฝนวิธีการพูด เมื่อไม่ได้คนอื่นที่มีคำพูดที่
เหนือกว่าคำพูดของตน จึงเที่ยวทำการพูด หาเรื่องทะเลาะกับคนเหล่า
นั้น ๆ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย อุบัติขึ้นแล้วในโลก
ทรงแสดงพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว ทรงฝึกเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
มีสกุลบุตรเป็นต้น โดยลำดับแล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถี เพื่อ
ฝึกอบรมอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในคราวที่มอบถวายพระเชตวันแด่พระ-
ศาสดา ท่านได้มีศรัทธา เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมแล้วทูลขอ
บรรพชา.

พระศาสดา ทรงบังคับรับสั่งให้ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็น
วัตรรูปหนึ่ง ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอ จงให้กุลบุตรผู้นี้บวชเถิด.
ท่าน เมื่อภิกษุนั้นจะให้บรรพชา พอมีดโกนจรดเส้นผมเท่านั้น ก็บรรลุ
พระอรหัตแล้ว ไปสู่โกศลชนบท อยู่ที่โกศลชนบทนั้นนานแล้ว กลับมา
ยังกรุงสาวัตถีอีก. พวกญาติผู้เป็นพราหมณ์มหาศาลเป็นอันมาก เข้าไป
หาท่านพระโคดมเถระนั้นแล้ว เข้าไปนั่งใกล้ พากันถามว่า พวกสมณ-
พราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้ มีวาทะอันบริสุทธิ์ในสงสาร, ในสมณ-
พราหมณ์เหล่านั้น พวกไหนมีวาทะที่แน่นอน, ปฏิบัติอย่างไร จึงจะ
บริสุทธิ์จากสงสารได้ ดังนี้. พระเถระเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นแก่ญาติ
เหล่านั้น จึงกล่าวคาถา1เหล่านั้นว่า :-
บุคคลพึงรู้จักประโยชน์ของตน พึงตรวจตราดูคำ
สั่งสอนของพระศาสดา และพึงตรวจตราดูสิ่งที่สมควร
แก่กุลบุตร ผู้เข้าถึงซึ่งความเป็นสมณะในพระศาสนานี้
การมีมิตรดี การสมาทานสิกขาให้บริบูรณ์ การเชื่อฟัง
ต่อครูทั้งหลาย ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ ในพระ-
ศาสนานี้ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ความยำเกรงใน
พระธรรมและพระสงฆ์ ตามความเป็นจริง ข้อนี้ล้วน
สมควรแก่สมณะ การประกอบในอาจาระและโคจรอาชีพ
ที่หมดจด อันบัณฑิตไม่ติเตียน การตั้งจิตไว้ชอบนี้ ล้วน
แต่สมควรแก่สมณะ จาริตศีลและการิตศีล การเปลี่ยน
อิริยาบถ อันน่าเลื่อมใส และการประกอบในอธิจิต


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 376.

ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ เสนาสนะป่าอันสงัด ปราศจาก
เสียงอึกทึก อันมุนีพึงคบหา นี้เป็นสิ่งสมควรแก่สมณะ
จตุปาริสุทธศีล พาหุสัจจะ การเลือกเฟ้นธรรม ตามความ
เป็นจริง การตรัสรู้อริยสัจ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ
ข้อที่บุคคลมาเจริญอนิจจสัญญา ในสังขารทั้งปวงว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เจริญอนัตตสัญญาว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา และเจริญอสุภสัญญาว่า กรัชกายนี้
ไม่น่ายินดีในโลก นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ การที่
บุคคลมาเจริญโพชฌงค์ 7 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5
พละ 5 และอริยมรรคมีองค์ 8 ก็ล้วนแต่สมควรแก่
สมณะ การที่บุคคลผู้เป็นมุนีมาละตัณหา ทำลายอาสวะ
พร้อมทั้งมูลราก เป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสอยู่ ก็ล้วน
แต่สมควรแก่สมณะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชาเนยฺย สกํ อตฺถํ ความว่า บุรุษ
มีชาตินักรู้ พึงตรวจตราดูประโยชน์ของตนตามความเป็นจริงแล้ว พึงรู้.
ก็เมื่อจะตรวจตรา พึงตรวจตราดูคำสั่งสอนของพระศาสดา คือคำสั่งสอน
ของพระศาสดา ที่สมณพราหมณ์ผู้เป็นปุถุชนทั้งหลาย และที่พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในโลกนี้ คือการจะตรัสรู้. ได้แก่ พึงดู คือพึงเห็น
ด้วยปัญญาจักษุ ซึ่งผู้ที่จะนำออกไปจากสงสาร.
จริงอยู่ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเดียรถีย์ต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นผู้ยึดมั่น
ผิดซึ่งสังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยงว่า เที่ยง ซึ่งสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวตนว่า เป็นตัวตน
และซึ่งหนทางที่ไม่บริสุทธิ์ ว่าเป็นหนทางที่บริสุทธิ์ และเป็นผู้มีวาทะ

แย้งกันและกันเอง; เพราะฉะนั้น วาทะของสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงเป็น
วาทะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน, ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ทั่ว ด้วย
ความรู้ยิ่งตามความเป็นจริง ด้วยพระสยัมภูญาณว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง.
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา, ความสงบคือพระนิพพานดังนี้ เพราะฉะนั้น
วาทะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงเป็นวาทะที่เที่ยงแท้แน่
นอน, อธิบายว่า พึงตรวจตราดูคำสั่งสอนที่ยิ่งใหญ่ของพระศาสดาแล.
บทว่า ยญฺเจตฺถ อสฺส ปฏิรูปํ สามญฺญํ อชฺฌูปคตสฺส ความว่า
พึงเป็นผู้ตรวจตราดูสิ่งที่สมควร คือสิ่งที่เหมาะสมแก่กุลบุตรผู้เข้าถึงความ
เป็นสมณะ คือการบวชในพระศาสนานี้ หรือในความเป็นบรรพชิต.
เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็ข้อนั้นเป็นอย่างไร ? ท่านจึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า มิตฺตํ อิธ จ กลฺยาณํ การมีมิตรดี ดังนี้. มีวาจาประกอบ
ความว่า การคบหากัลยาณมิตรในพระศาสนานี้ นับเป็นการสมควรแก่
สมณะ. แม้นัยที่นอกจากนี้ ก็เช่นนี้. จริงอยู่ กุลบุตรย่อมละอกุศล
ย่อมเจริญกุศล ย่อมบริหารตนให้หมดจดสะอาดได้ ก็เพราะได้อาศัย
กัลยาณมิตร.
บทว่า สิกฺขา วิปุลํ สมาทานํ ได้แก่ การสมาทานสิกขาให้
บริบูรณ์, อธิบายว่า ปฏิบัติในสิกขามีอธิศีลสิกขาเป็นต้น อันจะนำมา
ซึ่งคุณอันใหญ่ คือพระนิพพาน.
บทว่า สุสฺสูสา จ ครูนํ ความว่า การเชื่อฟัง และการประพฤติ
ตามโอวาทของครูทั้งหลาย คือของกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีอาจารย์และ
อุปัชฌาย์เป็นต้น.
บทว่า เอตํ ได้แก่ การคบหากัลยาณมิตรเป็นต้น.

บทว่า พุทฺเธสุ สคารวตา ความว่า กระทำความเคารพยำเกรง
ในพระสัพพัญญูพุทธเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้.
บทว่า ธมฺเม อปจิติ ยถาภูตํ ได้แก่ อ่อนน้อม คือบูชาโดย
ความเอื้อเฟื้อในพระอริยธรรม ตามความเป็นจริง.
บทว่า สงฺเฆ ได้แก่ ในพระอริยสงฆ์.
บทว่า จิตฺตีกาโร ได้แก่ สักการะ คือสัมมานะ.
บทว่า เอตํ ได้แก่ กระทำความเคารพในพระรัตนตรัย.
บทว่า อาจารโคจเร ยุตฺโต ความว่า การละอนาจาร คือการ
ก้าวล่วงทางกายและทางวาจา และการละสถานที่อโคจรมีหญิงแพศยา
เป็นต้น อันเป็นสถานที่ไม่สมควร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตเป็นต้นแล้ว
ประกอบคือถึงพร้อมด้วยอาจาระ คือการไม่ก้าวล่วงทางกายและทางวาจา
และด้วยโคจรอันเป็นสถานที่สมควรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตเป็นต้น. ชื่อว่า
ผู้มีอาจาระและโคจรสมบูรณ์.
บทว่า อาชีโว โสธิโต ความว่า เมื่อภิกษุละอเนสนากรรม มี
การขอไม้ไผ่เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจแล้ว เสพแต่ปัจจัยที่เกิด
ขึ้นไม่มีโทษ ชื่อว่า ผู้มีอาชีพะที่หมดจด คือบริสุทธิ์ด้วยดี เพราะความ
เป็นผู้มีอาชีพอันหมดจดนั่นเอง วิญญูชนทั้งหลาย จึงไม่ติเตียน.
บทว่า จิตฺตสฺส จ สณฺฐปนํ ความว่า การตั้งจิตไว้ชอบด้วยอำนาจ
รูปที่เห็นแล้ว และอารมณ์ที่ทราบแล้วเป็นต้น โดยที่ไม่ให้กิเลสมีอภิชฌา
เป็นต้น เป็นไปในอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น ทางทวารมีจักษุทวารเป็นต้น.
บทว่า เอตํ ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร อาชีพ

อันหมดจด และความมีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย
ดังนี้นั้น.
บทว่า จาริตฺตํ ได้แก่ ศีลที่พึงประพฤติให้บริบูรณ์.
บทว่า วาริตฺตํ ได้แก่ ศีลที่พึงให้บริบูรณ์ ด้วยการเว้นไม่ทำ.
บทว่า อิริยาปถิยํ ปสาทนียํ ความว่า เพียบพร้อมด้วยอากัปกิริยา
เป็นเครื่องหมาย อันนำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยอิริยาบถ
มีความรู้ทั่วพร้อม.
บทว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ได้แก่ การประกอบ คือการเจริญ
ในสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า อารญฺญกานิ ได้แก่ เสนาสนะอันนับเนื่องแล้วในป่า.
บทว่า ปนฺตานิ แปลว่า สงัดแล้ว.
บทว่า สีลํ ได้แก่ จตุปาริสุทธิศีล. จริงอยู่ ศีลที่ทำลายแล้ว
ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังในที่นี้ ท่านกล่าวถึงศีลที่ยังไม่ทำลาย.
บทว่า พาหุสจฺจํ ได้แก่ ความเป็นผู้สดับตรับฟังมาก, จริงอยู่
พาหุสัจจะนั้น ย่อมมีอุปการะมาก แก่ผู้ประกอบการเจริญภาวนา, การ
ประกอบสมถะวิปัสสนา ย่อมสำเร็จแก่ผู้มากไปด้วยความใคร่ครวญโดย
ชอบ ในความเป็นผู้ฉลาดในโพชฌงค์ ความเย็นอย่างยอดเยี่ยม และความ
เป็นผู้ประกอบในอธิจิตเป็นต้น.
บทว่า ธมฺมานํ ปวิจโย ยถาภูตํ ความว่า การไตร่ตรอง โดย
ลักษณะที่ตรงกันข้ามจากรูปธรรมและอรูปธรรม และโดยสามัญญลักษณะ,
ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงอธิปัญญา ธรรมและวิปัสสนา.

บทว่า สจฺจานํ อภิสมโย ได้แก่ การแทงตลอด ด้วยอำนาจ
การตรัสรู้ คือการหยั่งรู้ถึงอริยสัจ มีทุกข์เป็นต้น.
การตรัสรู้แจ้งอริยสัจนี้นั้น ย่อมมีโดยประการใด เพื่อจะแสดง
อริยสัจนั้น โดยประการนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า ภาเวยฺย ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาเวยฺย จ อนิจฺจํ ความว่า บุคคล
พึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นและให้เจริญอนิจจสัญญาในสังขารทั้งปวง โดยการ
ไม่จำแนกว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น หรือโดยการจำแนกว่า
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อนตฺตสญฺญํ มีวาจาประกอบความว่า พึงเจริญอนัตตสัญญา
ที่เป็นไปแล้วว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาดังนี้. แม้ในบทที่เหลือทั้งหลาย
ก็อย่างนี้.
บทว่า อสุภสญฺญํ ความว่า สัญญาที่เป็นไปแล้วว่า ไม่งาม เพราะ
สิ่งไม่สะอาดคือกิเลสในกรัชกาย หรือในสังขารอันเป็นไปในภูมิ 3 แม้
ทั้งหมด ไหลออกรอบด้าน. จริงอยู่ อสุภสัญญานี้ มีทุกขสัญญาเป็นบริวาร
ก็ด้วยบทนั้นนั่นแหละ ถึงทุกขสัญญา ท่านก็สงเคราะห์ไว้ในอสุภสัญญา
นี้เอง, บัณฑิตพึงทราบดังว่ามานี้แล.
บทว่า โลกมฺหิ จ อนภิรตึ ได้แก่ สัญญาในเพราะการไม่ยินดียิ่ง
ในสังขารทั้งหลายที่เป็นไปในภูมิ 3 ในโลกทั้งปวง, ด้วยบทนี้ ท่าน
กล่าวถึง อาทีนวานุปัสสนา เเละนิพพิทานุปัสสนา.
ก็พระเถระผู้ประกอบการเจริญวิปัสสนาอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะให้หมู่
ญาติเกิดความขวนขวาย คือเมื่อจะแสดงว่า พึงเจริญธรรมเหล่านี้ ดังนี้
จึงกล่าวคาถาว่า ภาเวยฺย จ โพชฺฌงฺเค ดังนี้เป็นต้น.

เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า :- ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า
เป็นองค์แห่งความพรั่งพร้อมของธรรม 7 อย่างมีสติเป็นต้น เพื่อการตรัสรู้
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นองค์แห่งบุคคลผู้
พรั่งพร้อมด้วยธรรมนั้น เพื่อการตรัสรู้ คือธรรมทั้งหลาย มีสติเป็นต้น.
ธรรมเหล่านั้น โพชฌงค์ 7 ประการ มีสติเป็นต้น, อิทธิบาท 4 มี
ฉันทะเป็นต้น, อินทรีย์ 5 มีศรัทธาเป็นต้น, พละ 5 มีศรัทธาเป็นต้น
เหมือนกัน และอริยมรรคมีองค์ 8 คือมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. ด้วย
ศัพท์ ท่านสงเคราะห์เอาสติปัฏฐานและสัมมัปปธานเข้าด้วย เพราะเหตุนั้น
พึงทำให้มี พึงทำให้เกิด และพึงเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประเภท
แม้ทั้งหมดเถิด. ในข้อนั้น การทำโพธิปักขิยธรรม 37 ประเภทเหล่านั้น
ให้เกิดขึ้นในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค และการเจริญในขณะแห่งอรหัต
มรรค. ข้อนั้นเป็นการสมควรแก่สมณะ คือภิกษุแล.
พระเถระ ชี้แจงโพธิปักขิยธรรมอย่างนั้น เมื่อจะแสดงว่า บุคคล-
จะตรัสรู้สมุทัยสัจ ก็ด้วยอำนาจการตรัสรู้ด้วยการละ, จะตรัสรู้นิโรธสัจ
ก็ด้วยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง, เหมือนจะตรัสรู้มรรคสัจได้ ก็ด้วย
อำนาจการตรัสรู้ด้วยการเจริญดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ตณฺหํ ปชเหยฺย
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตณฺหํ ปชเหยฺย ความว่า พึงตัด
ตัณหาทั้งหมด มีประเภทเช่นกามตัณหาเป็นต้น โดยไม่ให้เหลือ ด้วย
อริยมรรค, ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ ชื่อว่า มุนิ เพราะประกอบพร้อม
ด้วยญาณนั้น.
บทว่า สมูลเก อาสเว ปทาเลยฺย ความว่า พึงทำลาย คือพึง

ตัดอาสวะแม้ทั้งหมด มีกามาสวะเป็นต้น พร้อมทั้งมูลราก มีกามราคานุสัย
เป็นต้น.
บทว่า วิหเรยฺย วิปฺปมุตฺโต ความว่า เพราะละกิเลสทั้งหลายได้
โดยประการทั้งปวงอย่างนี้ จึงเป็นผู้หลุดพ้นในที่ทั้งปวง กระทำให้แจ้ง
ซึ่งนิโรธ คือนิพพาน อันสละขาดซึ่งอุปธิกิเลสทั้งหมดได้อยู่.
บทว่า เอตํ ความว่า ข้อที่การอยู่เช่นนั้น นับว่าเป็นการสมควร
แก่สมณะ คือภิกษุผู้ลอยบาปได้แล้ว.
พระเถระชี้แจงว่า พระศาสนาเป็นนิยยานิกะ โดยระบุถึงข้อปฏิบัติ
อันสมควรเเก่สมณะ และชี้แจงว่าลัทธิภายนอก เป็นอนิยยานิกะ เพราะ
ย้อน (ทวน, ตรงกันข้าม) พระศาสนานั้น. พราหมณ์มหาศาลเหล่านั้น
มีความเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา พากันดำรงอยู่ในสรณะเป็นต้นแล้ว.
จบอรรถกถาโคตมเถรคาถาที่ 7
จบปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา
ทสกนิบาต


ในทสกนิบาตนี้ พระเถระ 7 องค์ คือ พระกาฬุทายีเถระ 1
พระเอกวิหาริยเถระ 1 พระมหากัปปินเถระ 1 พระจูฬปันถกเถระ 1
พระกัปปเถระ 1 พระอุปเสนวังคันตปุตตเถระ 1 พระโคตมเถระ 1
ได้เปล่งอุทานคาถาองค์ละ 10 คาถา รวมเป็น 70 คาถา ฉะนี้แล.
จบทสกนิบาต

เถรคาถา เอกาทสกนิบาต



1. สังกิจจเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสังกิจจเถระ


อุบาสกคนหนึ่ง ได้อ้อนวอนขอให้สังกิจจสามเณรอยู่ในวิหารแห่ง
หนึ่งด้วยคาถาว่า
[377] ดูก่อนพ่อสามเณร จะมีประโยชน์อะไรในป่า ภูเขา
ชื่อ อุชชุหานะ เป็นที่ไม่สบายในฤดูฝน เพราะฉะนั้น
ภูเขาอุชชุหานะจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน ลมหัวด้วน
พัดมาอยู่ ท่านพอใจหรือ เพราะความเงียบสงัดเป็นที่
ต้องการของผู้เจริญฌาน.

สังกิจจสามเณรตอบว่า
ลมหัวด้วนในฤดูฝน ย่อมพัดผันเอาวลาหกไปฉันใด
สัญญาอันประกอบด้วยวิเวก ย่อมคร่าเอาจิตอาตมามาสู่
ความสงัดก็ฉันนั้น กายคตาสติกัมมัฏฐาน อันประกอบ
ด้วยความคลายกำหนัดในร่างกาย ย่อมเกิดขึ้นแก่อาตมา
ทันที เหมือนกาอันเป็นสัตว์เกิดแต่ฟองไข่ มีสีดำ เที่ยว
อาศัยอยู่ในป่าช้าฉะนั้น บุคคลเหล่าอื่นย่อมไม่รักษา
บรรพชิต และบรรพชิตก็ไม่รักษาคนเหล่าอื่น ภิกษุนั้นแล
เป็นผู้ไม่ห่วงใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข แอ่ง
ศิลาซึ่งมีน้ำใส ประกอบด้วยหมู่ชะนีและค่าง ดารดาษ